top of page

“ไข้หวัดแมว” โรคแมว ๆ ที่นุดไม่ควรมองข้าม


เวลานุดอย่างเรา เจออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ฝนบ้างแดดบ้าง หรือไม่ดูแลตัวเอง จนทำให้ภูมิคุ้มกันตก ก็มักจะตามมาด้วยอาการป่วย เป็นหวัด ไม่สบายกัน แต่รู้กันมั้ยว่า นุดเป็นหวัดได้ น้องแมวก็สามารถเป็นไข้หวัดได้ด้วยนะ เวลานุดเป็นหวัด นุดสามารถพูดออกมาได้ว่านุดไม่สบาย นุดอยากทานยา นุดต้องการหาหมอ แต่กับน้องแมวนั้น น้องไม่สามารถพูดบอกให้เรารับรู้ได้ ฉะนั้นการมาทำความรู้จักกับโรคไข้หวัดแมว จะทำให้เหล่านุดเข้าใจโรคนี้ได้มากขึ้นและพร้อมในการดูแลน้องแมวได้อย่างถูกต้อง ฉะนั้นเรามาทำความรู้จักกับเจ้าโรคหวัดแมวไปพร้อม ๆ กันเถอะ



ไข้หวัดแมวคืออะไรและเกิดจากอะไรกัน

โรคหวัดแมว (Cat flu) เป็นโรคทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยในแมว เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ทำให้แมวมีอาการหวัด การเป็นโรคหวัดของน้องแมว จะมาจาก 2 สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งจะมีเชื้อไวรัส 2 ตัวที่พบได้มากที่สุดในกลุ่มน้องแมวคือ เชื้อไวรัสเฮอร์ปี Feline Herpes Virus (FHV) และ เชื้อไวรัสแคลลิซิFeline Calici Virus (FCV) ส่วนสาเหตุที่สองคือ เกิดจากการติดเชื้อแทรกซ้อนของแบคทีเรียเช่น คลาไมเดีย (Chlamydophila felis) ไมโครพลาสมา (Mycoplasma) บอร์เดเทลลา (Bordetella bronchiseptica)


โดยปกติ หวัดแมว ในเคสทั่วไป ๆ เกือบ 90% จะเกิดจากเชื้อไวรัสอย่างเดียว แต่ถ้าทิ้งไว้นานๆ หรือว่าน้องภูมิคุ้มกันไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเข้ามา อาการก็อาจรุนแรงขึ้นถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ


อาการเมื่อน้องแมวเป็นไข้หวัด

น้องแมวบางตัวเวลาเป็นหวัดจะมีเป็นไม่แสดงอาการและสามารถหายเองได้ แต่บางตัวก็จะแสดงอาการออกมา ขึ้นอยู่กับว่าน้องมีภูมิคุ้มกันมากน้อยแค่ไหน แต่เมื่อน้องแมวเป็นหวัด อาการหวัดของน้องแมวจะคล้ายกับนุดเลย อาการที่จะพบบ่อย ๆ และน้องจะส่งสัญญาณให้นุดรู้ คือ น้องจะมีน้ำมูกไหล มีขี้ตาไหล เจ็บตา ซึม ไม่ร่าเริง ร้องไม่มีเสียง ไอ จาม ถ้ามีอาการรุนแรง น้องอาจจะมีอาการเป็นแผลที่กระจกตา ตาบวมแดงและเจ็บตามากเป็นพิเศษ น้องบางตัวจะไม่สามารถลืมตาได้เลย รวมทั้งอาการเบื่ออาหาร เพราะน้องอาจจะมีแผลในช่องปาก เช่นแผลที่ลิ้น กระพุ้งแก้มหรือตรงเหงือก จนไม่สามารถกินอะไรได้ อาการเหล่านี้จะทำให้ร่างกายน้องแย่ลง เจ้าของต้องเริ่มสังเกตถึงอาการผิดปกติของน้อง ถ้าเกิดอาการข้างต้นดังกล่าว ต้องรีบพาน้องไปหาคุณหมอเพื่อตรวจดูอาการและรับการรักษาอย่างถูกต้องนะคะ




พฤติกรรมแบบไหนที่เสี่ยงต่อการเป็นหวัด

โรคไข้หวัดในแมวเกิดขึ้นได้ง่ายกับน้องที่ชอบออกไปเล่นข้างนอกบ้าน น้องที่อยู่ในห้องแอร์เย็นมากๆ หรือชอบไปนอนเล่นอยู่ในห้องน้ำ ที่มีความอับ ความชื้นมากๆ ทำให้เพิ่มโอกาสที่จะเป็นหวัดได้มากขึ้น หรือถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น เสียงดัง เสียงก่อสร้างรอบ ๆ บ้าน หรือน้องพึ่งย้ายบ้านใหม่ ยังไม่คุ้นชิน อาจจะตกใจกับสถานที่ใหม่ ๆ จนทำให้เกิดความเครียด สิ่งเหล่านี้ก็มีโอกาสทำให้ภูมิคุ้มกันน้องแมวตก เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้น้องเป็นหวัดได้ง่ายขึ้นเหมือนกันค่ะและพฤติกรรมอีกหนึ่งอย่างที่เสี่ยงของน้องแมวคือการที่น้องแมว ไปคลุกคลี สัมผัส กับน้องแมวที่เป็นไข้หวัดอยู่แล้ว ผ่านการเลีย การจามใส่กัน การใช้ชามน้ำ อาหาร ชามเดียวกัน แม้แต่ของเล่นที่ใช้ร่วมกัน หรือเหล่านุดที่มีการไปจับ ไปลูบ น้องแมวตัวอื่นที่เป็นไข้หวัดอยู่ แล้วก็กลับบ้านไปจับน้องต่อ โดยไม่ล้างทำความสะอาดร่างกาย ก็อาจทำให้เชื้อไวรัสสามารถติดต่อสู่น้องแมวของเราได้เช่นเดียวกัน (แต่ไม่ติดต่อสู่คนนะ สบายใจได้นุด)




แนวทางการป้องกัน ดูแลน้องแมว หลีกเลี่ยงไข้หวัดแมว




1. ตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ และควรพาน้องไปรับวัคซีนสำหรับป้องกันโรคไข้หวัดแมวเพื่อสร้างและกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเป็นประจำต่อเนื่องทุกปี ถึงวัคซีนจะไม่ได้ช่วยป้องกันโรคได้ 100% แต่วัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงของอาการที่เกิดจากโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้

ซึ่งนุดสามารถเริ่มพาน้องไปรับวัคซีนได้ ตั้งแต่ตอนน้องอายุประมาณ 8 สัปดาห์ และไปรับเข็มกระตุ้นซ้ำอีกครั้งภายใน 2-4 สัปดาห์ต่อมา หลังจากนั้นก็ไปเป็นประจำเป็นรายปีไปค่ะ



2. จัดการทั้งสุขลักษณะและสิ่งแวดล้อมในบ้านให้เหมาะสม ไม่ควรให้น้องอยู่ในที่ ๆ ชื้นจนเกินไปหรือเปิดแอร์เย็นจนเกินไป มีการระบายอากาศที่ดี ดูแลให้บริเวณที่น้องอยู่และตัวนุดเองสะอาดอยู่เสมอ ก่อนนุดจะจับน้องก็ต้องล้างมือให้สะอาดด้วย

รวมถึงลดความเสี่ยงที่จะทำให้น้องเกิดความเครียด เพราะน้องแมวน่ะเครียดง่ายกว่าที่ทุกคนคิดนะคะ เหล่านุดจะต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของน้องอยู่ตลอดเลยนะ ถ้าเรารู้ว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้น้องเครียด ก็พยายามไม่ให้น้องอยู่ใกล้สิ่งเหล่านั้น ถ้าน้องย้ายเข้าบ้านใหม่ก็ลองปล่อยให้น้องได้ทำความคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ดูก่อนนะคะ น้องแมวแต่ละตัวก็จะมีวิธีปรับตัวตามแบบฉบับของตัวเอง แต่ถ้านุดดูแล้วว่าน้องไม่สามารถปรับตัวได้ จนเกิดความเครียด ก็พาน้องไปพบคุณหมอนะ



3. ให้น้องทานอาหารเสริม เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นหวัดในแมว อาหารเสริมที่สำคัญคืออาหารเสริมพวกที่มีไลซีน (Lysine) และวิตามิน E เพราะร่างกายน้องแมวไม่สามารถผลิตไลซีนได้เอง อาหารเสริมที่มีไลซีนจึงสำคัญมาก ๆ ไลซีนจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นภูมิให้น้องแมว และช่วยลดภาวะอักเสบ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างที่เป็นหวัด การที่ร่างกายน้องมีไลซีนเพียงพอ ก็เหมือนน้องมีเกราะป้องกันเชื้อได้ในระดับนึง ส่วนวิตามิน E มีฤทธิ์ เป็น antioxdent อยู่แล้ว จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นหวัดได้




โรคไข้หวัดแมวเป็นโรคที่ใกล้ตัวและพบเจอได้บ่อย เพราะเป็นโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน ดังนั้นนุดอย่างพวกเราก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องภูมิคุ้มกันของน้องแมวเป็นอันดับหนึ่ง ควรพาน้องไปทำวัคซีนให้ครบโปรแกรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกแมวที่รับมาใหม่ เพื่อป้องกันโรคหวัด ที่จะส่งผลรุนแรงกับชีวิต รวมทั้งใส่ใจในสิ่งแวดล้อมรอบตัว รักษาความสะอาด หมั่นสังเกตน้องอยู่เสมอ คอยดูแลสุขภาพน้อง ให้น้องสุขภาพแข็งแรง ถ้าน้องเคยมีประวัติเป็นหวัดมาก่อน ควรหาอาหารเสริมที่มี ไลซีน วิตามิน E บำรุงสร้างภูมิให้กับน้องแมวด้วยนะคะ อย่าง CATE™ IMMUNE SYSTEM Creamy Snacks Tuna with Scallop Flavor ขนมแมวเลีย ที่มีส่วนผสมของวิตามิน E ที่ดีต่อน้องแมว ตัวนี้จะช่วยให้เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อสุขภาพที่ดีของน้องแมว ให้น้องอยู่กับเราไปนานๆค่ะ


ซึ่งในโลกของน้องแมว นอกจากไข้หวัดแมวแล้ว ยังมีโรคอื่น ๆ อีกมากมายที่นุดไม่ควรมองข้ามเลยนะ เพราะบางโรคก็เกิดจากสิ่งเล็ก ๆ ที่เรามองไม่เห็นกัน การทำความรู้จักและเรียนรู้ จะช่วยให้คุณเข้าใจน้องแมวได้มากยิ่งขึ้น เพราะโลกของแมวยังมีเรื่องให้ค้นหากันอีกมากมาย ถ้าเหล่านุด อยากรู้เรื่องราวอื่น ๆ หรือสาระดี ๆ เพิ่มเติม สามารถมาติดตามกันต่อได้ทางเพจ แมวล้วน ๆ by CATE ค่ะ



ซื้อหาเคท แมวเลียเสริมสุขภาพกันได้ที่ SHOPEE | LAZADA

Comments


bottom of page